TLCI คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรกับงานวิดีโอ
TLCI หรือชื่อเต็มๆคือ Television Lighting Consistency Index หลายคนคงคุ้นเคยกับคำว่า CRI กันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นค่าดัชนีที่เอาไว้วัดความสามารถของแหล่งกำเนิดไฟ ว่าสามารถ Re-produce สีได้ตรงแค่ไหน เพียงแต่ในงานวิดีโอ เราไม่สามารถใช้เพียง CRI เพียงอย่างเดียวในการทำงานเพราะอาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้
ดังนั้น TLCI จึงถูกพัฒนาโดย EBU (European Broadcasting Union) โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลด้านเทคนิคให้แก่ผู้ผลิตงานวิดีโอและแพร่ภาพกระจายเสียง โดยทำการวัดคุณภาพแสง และความเที่ยงตรงของสีในสภาพแวดล้อมของการผลิตรายการโทรทัศน์ ซึ่งเป็นการวัดการกระจายพลังงานทางสเปกตรัมของแหล่งกำเนิดแสงเทียมด้วยเครื่อง spectroradiometer โดย TLCI เป็นค่าดัชนีหน่วยวัด 0-100 เช่นเดียวกับ CRI แต่ TLCI แต่จะเป็นการหาดัชนีจากสีที่ 24 สี
ภาพประกอบจาก : yujiintl.com
TLCI มีความสำคัญและแตกต่างจาก CRI
CRI จะทำเป็นค่าดัชนีที่วัดความสามารถของแหล่งกำเนิดแสง แต่ TLCI จะเป็นค่าดัชนีวัดที่บอกว่าแสงหรือแหล่งกำเนิดแสงเทียมให้ผลที่เที่ยงตรงแค่ไหนเมื่อผ่านกล้อง และจอแสดงผลในการผลิตงานวิดีโอ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตงานวิดีโอสามารถวิเคราะห์ได้ว่า ไฟที่เราใช้ในงานมีคุณภาพเพียงพอต่อความต้องการหรือเปล่า และเราต้องเสียเวลากับงาน Post-production ในการทำสีแค่ไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการโทรทัศน์ โดย TLCI จะแบ่งออกมาเป็น Level ที่ 5 Level
Level 5 : 85 – 100
: จะมีข้อผิดพลาดในเรื่องสีที่น้อยมากๆ
Level 4 : 75 – 85
: ต้องมีการแก้ไขประสิทธิภาพสี แต่สามารถทำได้ง่าย
Level 3 : 55 – 75
: ต้องมีการแก้ไขประสิทธิภาพสี แต่ต้องใช้เวลาในการแก้สีนานพอสมควร
Level 2 : 25 – 50
: การ Render สีไม่ดี ต้องมีการปรับปรุง ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่สามารถที่ออกอากาศได้
Level 1 : 0 – 25
: การ Render สีไม่ดี ต้องมีการปรับปรุงและใช้เวลานาน ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่สามารถที่ออกอากาศได้
จาก Level ของ TLCI ดังกล่าว ทำให้ผู้ผลิตงานวิดีโอ งานโทรทัศน์ส่วนใหญ่เลือกใช้แหล่งกำเนิดแสงที่มีค่า TLCI สูงกว่า 90 เพื่อให้ได้งานที่มีคุณภาพสีตรง และประหยัดเวลาในการทำงาน หรืองาน Post-production
ความแตกต่างระหว่าง CRI และ TLCI
มาถึงตรงนี้หลายๆคนอาจจะมีคำถามว่าเราควรเลือกซื้อไฟที่มี CRI สูงๆหรือ TLCI สูงดีกว่ากัน เนื่องจากทั้งคู่เป็นการวัดความเที่ยงตรงของสี ผมขออธิบายความแตกต่างของค่าทั้ง 2 แบบ ให้เข้าใจง่ายๆแบบนี้นะครับ
– CRI (Color Rendering Index) เป็นการวัดค่าความเที่ยงตรงของสี และความสามารถสามารถของแหล่งกำเนิดไฟว่าสามารถ re-produce สีได้ตรงแค่ไหน ผ่านดวงตาของมนุษย์ที่เห็นภาพวัตถุดังกล่าว
– TLCI (Television Lighting Consistency Index) เป็นการวัดค่าความเที่ยงตรงของสี และความสามารถสามารถของแหล่งกำเนิดไฟว่าสามารถ re-produce สีได้ตรงแค่ไหน ผ่านกล้องวิดีโอและอุปกรณ์การทำงานต่างๆ
ทั้ง CRI และ TLCI เป็นการวัดค่าความเที่ยงตรงของสีเหมือนกัน ผมแนะนำว่าเวลาเลือกซื้อไฟต้องเลือกดูค่าทั้ง CRI และ TLCI นะครับ ซึ่งทางผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานจะมีบอกอยู่แล้วว่าไฟมีค่า CRI และ TLCI เท่าไหร่ แนะนำว่า CRI ควรจะอยู่ที่ 95+ และ TLCI ควรอยู่ที่ 90+ เพื่อคุณภาพความเที่ยงตรงของสีที่ดี
หลีกเลี่ยงเรื่องน่าปวดหัวกับงาน Post-production
ในการทำงานวิดีโอตามหลักการแล้วเราควรทำการเช็คคุณภาพของไฟก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำ และลองทดสอบคุณภาพแสงในแต่ละสภาพแวดล้อมที่เราต้องถ่ายทำ เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องน่าปวดหัวกับการใช้เวลานานในการแก้สีในขั้นตอนของ Post-production
แต่ในการทำงานจริงอาจจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับคนทำงาน บางคนอาจจะมีเวลาให้กับงาน Post-production เพราะงานวิดีโอไม่ได้รีบมากอาจจะเป็นการถ่าย stock เก็บเอา แต่สำหรับคนที่ต้องไลฟ์สด หรือ Broadcast ซึ่งมีเวลาในการส่งงานที่จำกัดมากๆ การเลือกคุณภาพของไฟเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ช่วยให้เราประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณในการทำงาน